ตำนาน ผีช่องแอร์






เรื่องมันเริ่มต้น เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ 

โรงแรมนี้จะมีสถานบันเทิงอยู่ข้างล่าง แล้วกลุ่มวัยรุ่น 6 คนที่พบเจอเหตุการณ์นี้ก็เป็นนักดนตรีหนึ่งในวงดนตรีที่แวะเวียนมาแสดงที่โรงแรมแห่งนี้ในแต่ละคืน คิวของโรงแรมนั้นเป็นแห่งสุดท้ายสำหรับการเล่นดนตรีปกติเมื่อแสดงดนตรีเสร็จ ทางโรงแรมก็จะจัดห้องให้ทั้ง 6 คนนี้ได้พักผ่อนเหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างปกติไม่มีอะไร.......จนกระทั่งมาถึงคืนหนึ่ง


เมื่อวงดนตรีกลุ่มนี้เล่นเสร็จแล้วทางโรงแรมได้มาแจ้งกับพวกเขาว่าห้องพักเต็ม...แต่พอคุยกันไปมา....ทางโรงแรมเห็นว่าไม่น่ามีอะไรและเด็กเหล่านี้ก็เหมือนคุ้นเคยขาประจำ 
เลยบอกมาว่ามีห้องหนึ่งว่าง.....ว่าแล้วก็ให้พนักงานนำทางไปพร้อมกุญแจห้องไขสู่ประตูห้องที่มีหมายเลขห้อง 409 

เมื่อทั้ง 6 คนได้เข้ามาแล้วก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ก็มานั่งล้อมวงเล่นไพ่กันเล่นไปซักพัก 1 ใน 6 คนนั้นก็มองอะไรไปเรื่อยจนไปสะดุดเข้ากับผ้าริ้วขาวพลิ้วสะบัดไปมาตามแรงลมของช่องแอร์ที่กำลังเป่านั้นด้วยความรำคาญหรืออะไรมิทราบได้เจ้าคนนั้นจึงลุกออกมาแล้วลากเก้าอี้เพื่อที่จะได้ยื่นมือไปดึงเอาผ้าริ้วสีขาวนั้นออกในขณะที่เขาต้องดึงตะแกรงที่ปิดช่องแอร์ออกก่อนซึ่งในตอนนั้นสายตาของเขาก็ยังมองมายังกลุ่มเพื่อนที่นั่งเล่นไพ่อยู่

พอเขาวางตะแกรงลงและกำลังจะเงยหน้าไปหยิบผ้าริ้วสีขาวผืนนั้นออกสายตาของเขาก็ไปเจอเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง เขานิ่งไปชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ค่อยๆลงมาจากเก้าอี้ที่เขายืนอยู่ ในลักษณะถอยหลังค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไปแล้วก็ค่อยหันหลังเดินออกจากห้องไป

เพื่อนๆในกลุ่มที่เล่นไพ่กันอยู่ก็งง บางคนในนั้นก็ตะโกน "เฮ้ยยยยย!!!!!"แต่เพื่อนๆ ก็นั่งเล่นไพ่กันต่อ เพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นและก็ขี้เกียจเดา แต่ด้วยอะไรไม่ทราบได้ คนที่เหลือในกลุ่มคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า 

"เออ เดี๋ยวกุลุกไปปิดตะแกรงให้" แล้วก็บ่นว่าเจ้าเพื่อนคนที่ออกไปคนแรกทำไมไม่ปิดน่ะ

เมื่อเขาลุกออกไปก็ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ที่ยังตั้งอยู่ตรงนั้น
และค่อยเงยหน้าขึ้นดูเพื่อให้รู้ว่าร่องที่จะวางตะแกรงนี่ต้องวางมุมไหนยังไงในขณะที่เขาค่อยๆ เงยหน้าและยืดตัวขึ้นไปดูนั้นดวงตาเขาก็ไปเจอกับอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เขานิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักนึงแล้วจึงลงมาจากเก้าอี้และค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง

เพื่อนๆ ที่เหลือก็งงกันอีก ว่าเออเขาเป็นอะไรของเขาน่ะ 
ทีนี้ในกลุ่มก็เหลือ 4 คน นั่งเล่นไพ่กันต่อไป พอหมดเกมส์นึง คนที่ 3 ก็ลุกออกไปจะไปปิดตะแกรงแอร์ให้เรียบร้อย 
จะได้มาเล่นต่ออย่างสบายใจแต่แล้ว เขาก็กลับมีปฏิกิริยาเหมือน2 คนแรก คนที่ 3 และคนที่ 4 ก็เป็นเหมือนกัน
และค่อยๆ เดินออกจากห้องไปทีนี้ก็เหลือในห้อง แค่ 2 คน ก็เล่นไม่สนุกแล้ว (และ 1 ใน 2 คนนั้นคือคนที่รอดชีวิตมาเล่าเรื่องราวให้พวกเราได้ฟังกัน) 


ทั้ง 2 คนก็เลยชวนกันออกไปล๊อบบี้โรงแรม ดีกว่า เผื่อเจอเพื่อน ๆที่ลงไปก่อนหน้านี้แล้ว...แต่ก่อนออกไป ทั้ง 2 ต้องการปิดตะแกรงของช่องแอร์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วก็ให้คนนึงจับเก้าอี้ และคนที่รอดชีวิตมาเล่าเป็นคนขึ้นไปบนเก้าอี้พอกำลังจะเอาตะแกรงเข้าไปปิดช่องแอร์เท่านั้น....ทั้งสองก็เห็นภาพเหมือนกัน คือ ศรีษะของผู้หญิงคนหนึ่งชะโงกหน้าลงมาจากช่องแอร์ และมองมาด้วยสายตาที่เคียดแค้น จ้องมองมาที่ทั้ง 2 คนนั้น... เขายังพอมองเห็นว่า เส้นผมยาวๆของผู้หญิงคนนั้นถูกผูกติดไว้กับเหล็กที่อยู่ข้างในช่องแอร์นั้น 

เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้ง 2 คนจึงค่อยเดินถอยหลังออกไป 1 ใน 2 คนนั้นก็พยายามจับแขนอีกคนหนึ่งไว้แล้วบอกว่า "อย่าวิ่ง!!!!"เพราะถ้าวิ่งนี่เตลิดแน่นอน เพราะตอนนั้นจิตกระเจิงไปหมดแล้วทั้งสองจึงค่อยๆ เดินลงมาจนมาสมทบกับกลุ่มเพื่อนข้างล่างพอเจอกัน ต่างมองหน้ากันและ 1 ในนั้นก็ถาม "พวกมึงทำไมไม่บอกพวกกุว่าเจออะไร"แต่ไม่มีเสียงตอบจากใครคนใดในกลุ่มนั้น

ทั้งหมดจึงไปถามหาจากคนของโรงแรมว่าที่ห้อง 409 นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมพวกเขาเจอเหตุการณ์อย่างที่เล่ามานี้เหมือนกันหมดทุกคนสุดท้ายจึงมีพนักงานคนหนึ่งในโรงแรมนั้นเล่าให้ฟังว่า


"เมื่อหลายปีก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่งทำงานขายบริการถูกพาไปห้องโดยแขกเหมือนจะเป็นชาวมาเลย์และด้วยมีเรื่องอะไรกันไม่ทราบได้ ในตอนเช้าพบเธอเป็นศพสภาพหัวถูกตัดหายไป โดยที่ตัวถูกหมกไว้ใต้เตียงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามหาส่วนหัวอยู่นานก็ไม่เจอก็เลยเลิกหาแล้วก็กลับ ไปจนหลายวันต่อมาแอร์ห้องนั้นเริ่มมีกลิ่น เพราะแขกที่มาพักห้องข้างๆ ได้กลิ่นจึงแจ้งพนักงานโรงแรมแล้วก็หาจนได้ที่มาของกลิ่น นั่นก็คือศรีษะของผู้หญิงคนนั้นถูกตัดออกมา แล้วก็นำชุดขาวที่เธอใส่มาห่อพันส่วนที่เป็นคอที่ถูกตัดไว้ แล้วใช้เส้นผมของเธอเองผูกไว้กับแกนเหล็กข้างในช่องแอร์อีกทีหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้น ห้องนั้นก็ถูกทางโรงแรมปิดตายไป!"

ดังนั้น สิ่งที่ทั้ง 6 คนได้พบเจออาจเรียกได้ว่าเป็น ภาพ หรือ ภาพหลอนหรือผีหลอกนั่นเอง
หลังจากนนั้นทั้ง 6 คนก็ไม่ได้คิดอะไรมากและก็ดำเนินชีวิตปกติแต่ 3 วันถัดจากที่พวกเขาเจอเหตุการณ์ เพื่อนของเขา คือ คนแรกที่เป็นคนต้นคิดไปเปิดตะแกรงเพื่อเอาผ้าริ้วสีขาวๆ ออกก็ได้เสียชีวิตลง โดยเหตุการณ์คือ เหมือนคุยกับแฟนตกลงอะไรกันอยู่ ส่วนเพื่อนก็นั่งดูอยู่ห่างๆ แต่ซักพักเพื่อนคนนั้นก็ยิงหัวตัวเองตายต่อหน้าต่อตาเพื่อนและแฟนโดยที่เพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนไม่มีปัญหาอะไรเลย และเป็นคนสนุกสนานร่าเริง

หลังจากนั้นในวันถัดมาเพื่อนอีกคน คือคนที่ 2 ที่จะลุกไปปิดตะแกรงก็ตายด้วยอุบัติเหตุสยองจากการขับรถเพิ่มขึ้นอีกคนและในขณะที่กำลังจัดงานศพเพื่อนๆ อยู่นั้น ปารกฏว่ามีอีกคนนึงหายไป คนที่รอดชีวิตมาเล่า ได้ไปตามหาถึงที่ห้องปรากฏว่าเขาผูกคอตายอยู่กับหน้าต่างโดยที่ตัวเขาก็ถึงพื้น หน้ามือก็ถึงพื้น แต่สภาพใบหน้าคือดวงตาเบิกโพลง เหมือนตกใจกลัวอะไรสุดขีด

คล้อยหลังอีกไม่นาน เพื่อนคนต่อมาก็เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนตร์อีกเช่นเดียวกัน

เนื่องจากภายในเวลาไม่ถึง 7 วัน เพื่อนๆ ในกลุ่มเขาตายอย่างกระทันหันถึง4 คนทำให้ 1 ใน 2 คนที่เหลือฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่พวกเขาเจอที่โรงแรมนั้นหรือไม่

ทั้ง 2 คนที่เหลือเลยไปหาพระที่วัด ซึ่งพระก็ทักว่า พวกเค้าเพิ่งเสียของรักหรือคนที่เรารักไปหลายคนใช่ไหมแล้วพระท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆอีกว่า "เป็นผู้หญิง"ทั้ง 2 คนก็งง แต่พระท่านก็บอกว่า"หมายถึง ผู้หญิงน่ะ เค้ามากับโยมด้วย ตอนนี้ก็มา เค้านั่งอยู่ข้างหลัง"

ทั้ง 2 หันไปแต่ก็ไม่เจอใคร พระท่านก็บอกว่า "เธออาฆาต"
จากนั้นทางครอบครัวของทั้ง2 คนเลยขอให้พระท่านจัดทำพิธิบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายให้แก่ทั้งคู่โดยหวังว่าจะได้รอดพ้นหรือผ่อนหนักเป็นเบา

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มานั่งคุยกันเล่นๆ ว่าใครจะไปก่อนน่ะ
อีกคนเลยบอกว่าจะไปต่างประเทศ อยากไปไกลๆให้พ้นๆเรื่องสยองนี้หลังจากวันนั้นทั้งคู่ก็แยกกันไป จนคนที่รอดชีวิตมาเล่าเรื่องนี้ อยู่ๆ ก็โดนใครที่ไหนไม่รู้วิ่งเอามีดมาแทงๆๆๆ โดยที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อนเลยจนต้องเข้าโรงพยาบาล(พอมาถึงช่วงนี้...เขาก็เปิดให้ดูรอยแผลเป็นจากการโดนแทง)

เขาระบุวันเวลาอย่างแม่นยำ เหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานว่าเขาโดนแทงวันไหนเวลาอะไร เพราะอีกวันถัดมาเขาให้เพื่อนโทรทางไกลไปหาเพื่อนคนที่อยู่เมืองนอก เพื่อนคนนั้นก็บอกว่าเกิดเรื่องกับเค้าขึ้นเหมือนกัน นี่เค้าก็กำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะรถไปพลิกคว่ำลงข้างทาง โดยเพื่อนเขาเล่าว่า มีผู้หญิงผมยาวๆ วิ่งมาตัดหน้าเขาจึงต้องหักหลบ


หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ผ่านไป ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยดีมาจนถึงทุกวันนี้ และ 1 ใน 2 คนนั้นก็ได้มีโอกาสมาเล่าประสบการณ์สยองขวัญผ่านทางรายการวิทยุ รายการ Shockfm รายการตีสิบ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นที่ฮือฮากันมากและถูกโหวตให้เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในรอบหลายๆ ปี 




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้