ความเชื่อเรื่องปลัดขลิก





ในบรรดาเครื่องรางของขลัง ที่โบราณาจารย์นิยมจัดสร้างขึ้น มีเครื่องรางประเภทหนึ่ง มีลักษณะรูปร่างแปลกตาไปจากวัตถุมงคลประเภทอื่น กล่าวคือ จะมีสัณฐานเป็นรูป "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย โดยจัดสร้างขึ้นมามากมาย หลายขนาด ตั้งแต่เล็กจิ๋วกว่าปลายนิ้วก้อย ไปจนถึงขนาดเท่าของจริง และขนาดใหญ่โตมโหฬาร สูงท่วมหัว

เครื่องรางชนิดนี้ได้รับความนิยมพกติดตัว ตลอดจนเคารพบูชากันเป็นที่เอิกเกริก ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ "ปลัดขิก" 

ด้วยความนิยมใช้ปลัดขิก ถึงขนาดที่ว่ามีการท่องไล่เลียง "ของดี" หรือของสุดยอดของเครื่องราง ที่คู่ควรสะสมไว้ว่า

"ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อป่าน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นวัดศรีษะทอง เบี้ยแก้กันวัดนายโรง ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง"

ความเป็นมาของ "ปลัดขิก" ค่อนข้างเกี่ยวพันกับคติความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ โดยเชื่อว่า "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อันเป็นรากฐานมาจากคติการบูชา "ศิวลึงค์" หรือลึงค์ของพระศิวะ ในลัทธิไศวนิยาย ที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ อันเป็นที่มาของการเรียก "ลึงค์" ว่า "เจ้าโลก"



ซึ่งแตกต่างจากอีกนิกายหนึ่งในศาสนาฮินดูที่เคารพบูชา "โยนี" หรือ อวัยวะเพศหญิง ในลัทธิศักติ ที่เชื่อว่าสรรพสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยโยนี

การบูชาลึงค์ค่อยๆ เผยแพร่ในสยามประเทศ เนื่องมาจากขอมเคยมีอิทธิพลอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งไทยเราก็รับคติดังกล่าวมาประยุกต์ดัดแปลงและกำหนดเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น

มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดความเชื่อของฮินดูจึงเข้ามาผูกพันกับพุทธศาสนา โดยเฉพาะในกรณีของปลัดขิก สาเหตุก็คือพุทธศาสนานั้นได้ปรับเปลี่ยนและดัดแปลงเอาความเชื่อดั้งเดิมในวิถีชีวิตมนุษย์ตลอดจนความศรัทธาอื่นๆ เข้ามาด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงรากเหง้าดั้งเดิม ตลอดจนเป็นกุศโลบายในการเผยแพร่ศรัทธาที่ไม่ขัดแย้งกับความเชื่ออื่นๆ เช่น

ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวอีสาน เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง

สองพิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้ มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้ส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชาย เรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสาน หรือ "ขุนเพ็ด"

ประเพณีแห่ผีตาโขน ของชาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ผีทุกตัวจะถืออาวุธในมือ ซึ่งทำด้วยทางมะพร้าว โดยทำด้ามเป็นลักษณะเหมือนปลัดขิก นอกจากนี้แล้ว ปลัดขิกยังถูกนำไปใช้เป็นเครื่องรางป้องกันอาถรรพณ์อีกหลายอย่าง เช่น ในช่วง ๔-๕ ปี ที่ผ่านมา ชาวบ้านร้อยเอ็ด กลัว ผีแม่ม่าย จะมาเอาชีวิต ผู้ชายในหมู่บ้านจึงแก้เคล็ดด้วยการ ทำปลัดขิกขนาดใหญ่ ติดหน้าบ้านของผู้ชายที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "ส" และ "ย" อันเป็นเป้าหมายของผีแม่ม่าย



ส่วนการนำปลัดขิกมาใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพกพาติดตัวนั้น จากหลักฐานที่ปรากฏ จะพบว่า ปลัดขิกยุคเริ่มแรก สร้างจากแก่นไม้ที่มีสรรพคุณทางรักษา และป้องกันโรค เช่น แก่นของต้นคูณ ซึ่งมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า "CASSIAFISTULA, LINN" ผู้คนพกพาติดตัวเดินทางไกล เมื่อจะกินน้ำตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ ก็จะใช้ปลัดขิกฝนผสมเข้าไป เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในน้ำ

ต่อมาเมื่อกิตติศัพท์ทางแคล้วคลาดรอดพ้นจากโรคภัยและอันตรายต่างๆ ขจรขจายออกไป ก็เกิดความนิยมในการเสาะแสวงหา บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆ จึงพากันจัดสร้างปลัดขิกตามตำรับของตน จนเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา

เมื่อพระเกจิอาจารย์เริ่มสร้างปลัดขิก ท่านก็รวบรวมเอาความรู้ต่างๆ ดำเนินการปลุกเสก และจัดสร้าง มีการเลือกไม้หรือวัสดุอันเป็นมงคลตลอด จนจดจารพระคาถา เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นใจให้ผู้คนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอานุภาพของปลัดขิกจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงการรักษาป้องกันโรคแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ได้กลายสภาพเป็นเครื่องรางของขลัง (Charm and Talismans) โดยมีความเชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านป้องกันอันตราย มีเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ การทำมาค้าขาย หรืออื่นๆ อีกด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว ปลัดขิกถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายมาแต่โบราณ ปลัดขิกดอกน้อยๆ จะถูกผูกไว้ที่สะเอวของเด็กเพศชาย ซึ่งนอกจากความเชื่อในด้านป้องกันอันตรายแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่บ่งชี้ในเรื่องเพศอย่างเด่นชัด

หลวงพ่อยิดกำลังปลุกเสกปลัดขิก

อย่างไรก็ตาม มีผู้คนสงสัยมากมาย ถึงชื่อและความหมายของ "ปลัดขิก" บางคนก็ถามแบบยั่วโทสะว่า ทำไมไม่เรียก "นายอำเภอขิก" หรือ "ผู้ว่าขิก" บางท่านสันนิษฐานว่า คนแขวนคนแรกคงเป็นปลัดขิก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการพ้องเสียงมาจากคำว่า "ปราศวะ" ในภาษาสันสกฤษ ซึ่งแปลว่า "เคียงข้าง" ในขณะที่ภาษาไทยเราจะเรียกผู้อยู่เคียงข้างนายอำเภอว่า "ปลัดอำเภอ" ผู้อยู่เคียงข้างผู้ว่าราชการจังหวัดว่า "ปลัดจังหวัด"

เหตุที่ให้ความหมายว่าเคียงข้าง หรือผู้อยู่เคียงข้าง เนื่องจากเวลาแขวนปลัดขิกนั้น ผู้ใช้ไม่ได้คล้องคอ หากแต่ผูกอยู่ที่สะเอว หรือบริเวณสีข้าง เรียกว่าไปไหนไปด้วยกัน และสมัยก่อนก็นิยมแขวนให้ห้อยออกมานอกร่มผ้า เมื่อสาวแก่แม่ม่ายเห็นรูปอวัยวะเพศชายห้อยออกมา ก็พากันหัวเราะหัวใคร่ "คิกคิกคักคัก" กันเป็นที่สนุกสนาน ผู้คนก็เลยเรียกกันว่า "ปลัดคิก" ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น "ปลัดขิก" ในปัจจุบัน

โบราณาจารย์ในสยามประเทศ นิยมสร้างเครื่องรางชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย บ้างก็ลงอักขระเลขยันต์ เช่น อะ อุ มะ หรือ โอม อันเป็นการสรรเสริญ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ในศาสนาฮินดู บ้างก็จารจารึกอักขระอื่นๆ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการสร้างปลัดขิกก็คือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นต้น

ปัจจุบันแม้โลกจะเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ผู้คนก็ยังนิยมบูชาเครื่องรางที่เรียกว่า "ปลัดขิก" กันอย่างแพร่หลาย ตามกระเป๋าพ่อค้าแม่ขายจะใส่ปลัดขิกดอกน้อยไว้เพื่อให้ทำมาค้าขึ้น บางคนก็ตั้งไว้หน้าร้าน ปิดทองอย่างสวยงาม

นัยได้ว่า "ปลัดขิก" กลับแหวกกระแสของความเจริญเข้ามาอยู่ในความศรัทธาของสังคมไทย และก้าวไปพร้อมความเจริญ โดยมิได้ตกยุคตกสมัยแต่อย่างไร

ใช่ว่าความเชื่อเรื่องปลัดขิกจะได้รับความนิยมแต่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ยังได้รับความนิยมจากต่างประเทศด้วยเช่น ที่ประเทศญี่ปุ่นมีเทศกาลหนึ่งซึ่งเป็นการบูชาศิวะลึงค์แห่ไปทั่วเมือง คือ


เทศกาล คานามาระ 

เทศกาล คานามาระ (เทศกาลองคชาติเหล็ก) เป็นงานประจำปีของชินโต จัดขึ้นในจังหวัด คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยจัดขึ้นที่ศาลเจ้าคานายามะ วันที่จัดจะเปลี่ยนแปลงไปโดยจะจัดให้ตรงกับวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน องคชาติจะจัดเป็น ธีมหลักของงานทั้งหมดโดยจะปรากฏอยู่ในแทบทุกรูปแบบเช่น ภาพวาด ขนม(น่าลองมากกก) ผักสลัก การประดับตกแต่ง และ ศาลมิโคชิ (ศาลเจ้าที่เขาใช้แบกแห่งานกันในศาสนา ชินโตนะครับ)


เทศกาล คานามาระนี้ จะจัดขึ้นโดยมุ่งความสนใจไปยัง รูปเคารพรูปองคชาติของศาลเจ้าท้องถิ่น ที่ครั้งหนึ่งเป็นรูปเคารพที่โด่งดังของบรรดาโสเภณีที่มาสวดอ้อนวอนให้ช่วยป้องกันภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ก็มีความเชื่อเช่นกันว่า รูปเคารพรูปองคชาตินี้ยังปกป้องให้พรเรื่องของ ความรุ่งโรจน์ทางธุรกิจ ความรุ่งโรจน์ทางของเผ่าพันธุ์ ให้การคลอดลูกง่าย ชีวิตสมรสดี และ มีความปรองดองในชีวิตคู่ นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่า ในช่องคลอดของเด็กสาวญี่ปุ่นนั้น มีสัตว์ประหลาดเขี้ยวแหลมซุกซ่อนอยู่ (!!!) และได้ทำให้ผู้ชายสองคนกลายเป็นหมันในคืนวันแต่งงาน ผลก็คือ หญิงสาวคนนั้นก็ได้ไป ขอให้ช่างเหล็กตี องคชาติเหล็กขึ้นเพื่อทำลายฟันของ เจ้าปีศาจร้ายฟันแหลมในช่องคลอด... จากนั้น องคชาติเหล็กจึงกลายเป็นรูปเคารพที่ขึ้นแท่นไว้บูชา



ปัจจุบันเทศกาล คานามาระได้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว และทำเงินให้กับการวิจัยเกี่ยวกับ เอชไอวี อีกด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้