ตำนาน ลูกลม


ลูกลม นาหมื่นศรี จ.ตรัง






ได้มีเรื่องเล่าต่อเนื่องกันมานานแล้วว่าในสมัยพุทธกาล[1]บนแผ่นดินชมพูทวีป[2] นั้นมีแต่ความสงบสุข ผู้คนไม่เบียดเบียนกัน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นที่ใดก็จะมีการใช้ปัญญาเข้ามาร่วมแก้ปัญหานั้น ๆ ทุกครั้งไป ทำให้ ผู้คนบนแผ่นดินนี้มีความสุขกายสบายใจกันถ้วนหน้า 

แต่อยู่มาวันหนึ่ง ได้มีพญายักษ์ตนหนึ่งพร้อมสมัครพรรคพวกยักษ์ได้พากันเดินทางเข้ามาในแผ่นดิน ชมพูทวีป เข้าข่มเหงรังแก จับพวกมนุษย์กินเป็นอาหารไปหลายคน จนทำให้ผู้คนที่เคยอยู่อาศัยกันมาอย่าง สงบสุขนั้นประสบกับภัยพิบัติจากเหล่ายักษ์ 

อาฬวกยักษ์แสดงฤทธิ์หวังเอาชนะพระพุทธเจ้าแต่หาได้ชนะไม่ กลับพ่ายแพ้ต่อพระพุทธองค์อย่างราบคาบและยอมถือศีลปฏิบัติธรรมไปชั่วชีวิต

วันเวลาได้ผ่านไปนานพวกยักษ์ก็ยิ่งเพิ่มความเหิมเกริมมากยิ่งขึ้น ได้จับเอามนุษย์ผู้ด้อยพละกำลังไป กินเพิ่มขึ้นทุกวัน เหล่ามนุษย์ทั้งหลายมีความหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันหนีไปพึ่งบารมีของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไปถึงก็เล่าเรื่องราว ความเดือดร้อนที่เกิดจากการกระทำของพรรคพวกยักษ์ให้ พระองค์ฟัง และในขณะที่มนุษย์กำลังเล่าเรื่องอยู่ต่อหน้าพระ-พักตร์นั้น บรรดาพญายักษ์ก็ได้ยกพลติดตาม มนุษย์มาทันพอดี และยิ่งเมื่อรู้ว่ามนุษย์ทั้งหลายได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารด้วยแล้วก็ทำให้เหล่าพรรคพวก ยักษ์เกิดความโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ร้องท้าออกไปว่า

 " ไอ้มนุษย์ขี้ขลาด หากแน่จริงก็ให้ยกพลออกมาต่อสู้ ทำสงครามกันให้รู้แพ้รู้ชนะกันเสียเถิด และถ้าหากเราแพ้เรายินดีที่จะยกทัพกลับไป แต่หากเราชนะเราก็จะขอ จับเจ้ากินวันละคนจนมนุษย์หมด"      

 ทางฝ่ายมนุษย์ได้ยินพวกยักษ์ร้องท้า บ้างก็กลัวเป็นยิ่งนัก บ้างก็คิดว่า 

ไหน ๆ เราก็มีพระพุทธคุณจากองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าแล้วเราจะไปกลัวพวกมันทำไม น่าจะยกออกไปทำ สงครามกันมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย" 

พระพุทธเจ้าเมื่อรู้ว่ามนุษย์คิดเช่นนั้นจึงได้ตรัสว่า

 " พวกยักษ์นั้นมีพละ กำลังมหาศาล หากมนุษย์ออกไปต่อสู้จะไม่มีวันชนะเป็นอันขาด แต่สมควรจะได้ไตร่ตรองใช้ปัญญาให้มาก จึงจะเอาชนะยักษ์ได้"       

 ดังนั้นเหล่ามนุษย์จึงได้ร่วมกันคิดหาวิธีการต่อสู้กับยักษ์อยู่นาน ในที่สุดก็คิดกันว่าน่าจะลองยื่นข้อ
เสนอการแข่งขันก่อสร้างเจดีย์[3]กัน แทนการสงคราม ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตไพร่พลทั้งสองฝ่าย และเมื่อได้ยื่นข้อ เสนอไปเช่นนื้ ฝ่ายยักษ์ก็ตอบตกลงในทันที ที่จะแข่งขันการสร้างเจดีย์แทนการทำสงคราม ดังนั้นทั้งสองฝ่าย จึงทำข้อตกลงร่วมกัน ถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะแล้วให้ผู้แพ้ออกไปจากแผ่นดินนี้ทันที เวลาในการแข่งขันนั้นจะใช้เวลาเพียงราตรีเดียว


  เมื่อถึงวันนัดในการแข่งขัน ฝ่ายยักษ์ได้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อขนหินมาวางซ้อนกันเพื่อสร้าง เจดีย์ อย่างฮึกเหิม มั่นใจในชัยชนะอย่างแน่นอน ทางฝ่ายมนุษย์นั้นมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ ก็ได้ระดมผู้คนทั้ง หมดมาช่วยกันคิดหาวิธีการเอาชนะในการก่อสร้างเจดีย์ครั้งนี้ให้ได้ และในที่สุดก็คิดได้ว่าน่าจะเอาไม้ไผ่มา สานแต่งเป็นโครงต่อกันขึ้นไปให้เป็นรูปเจดีย์ให้สูงที่สุดแล้วตกแต่งด้วยกระดาษสีให้สวยงาม เมื่อคิดได้เช่นนี้

สมลักษณ์ ปันติบุญ นักธุรกิจเครื่องปั้นดินเผา ผู้สร้างสรรค์โครงการ “เจดีย์ไม้ไผ่”


พระองค์ก็ระดมกำลังที่มีอยู่ช่วยกันแต่งโครงเจดีย์ไม้ไผ่ขึ้นตามรูปที่คิดไว้ ครั้งเวลาย่ำรุ่ง แสงเงินแสงทองทาบขอบฟ้า ทางฝ่ายยักษ์ได้ก่อเจดีย์เลยชั้นเจดีย์ไปแล้ว และกำลังจะต่อยอดปล้องไฉนไปได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็เห็นยอดเจดีย์ของฝ่ายพระพุทธองค์เหลืองอร่ามเรียบร้อยแล้ว จึงโมโหมากที่พวกตนซึ่งมีพละกำลังมากกว่า แต่ต้องมาพ่ายแพ้มนุษย์ผู้เอวบางร่างน้อยได้ จึงถีบเจดีย์ที่ ตนเองสร้างเกือบเสร็จพังลงในทันที

 และเมื่อถึงเวลาตัดสินปรากฏว่ามนุษย์เป็นผู้ชนะ ดังนั้นพรรคพลของยักษ์จะต้องอพยพออกไปจาก แผ่นดินชมพูทวีปในทันที แต่ด้วยเหตุที่แผ่นดินชมพูทวีปนั้นกว้างใหญ่ ยักษ์ไม่รู้แน่ชัดว่ามีอาณาเขตสิ้นสุดลง ที่ใดกันแน่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบยักษ์ไปว่าสิ้นสุดแผ่นดินชมพูทวีปของเรานั้นอยู่ที่สุดเสียง ลูกลม 

ด้วยสัจจะวาจาของพญายักษ์ที่รู้จักแพ้ รู้จักชนะ จึงได้ยกพลพรรคยักษ์ทั้งหมดออกไปจากแผ่นดินชมพูทวีปในทันที และในขณะที่เดินทางอพยพอยู่นั้นก็เงื่ยหูฟังไปตลอดทางว่าสุดเสียงลูกลมหรือยัง ทางฝ่ายพระพุทธเจ้านั้นเมื่อเป็นฝ่ายชนะแล้วก็ได้ป่าวประกาศให้มวลมนุษย์ทั้งหลายช่วยกันปักธง ลูกลมเพื่อบอกเขตของชมพูทวีป และปรากฏว่าประชาชนพลเมืองมนุษย์ก็ช่วยกันทำลูกลมกันถ้วนหน้า นัยเพื่อไล่ยักษ์ออกไปให้พ้น

_________________________________________________________________________________

อุปกรณ์และวิธีการเล่น


อุปกรณ์
๑. ใบลูกลม ใช้ใบมะพร้าว หรือกาบหมาก หรือใบเตย เลือกชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วเฉือนใบให้ได้ขนาดกว้าง ๐.๕ นิ้ว ยาว ๔ นิ้ว บิดปลายทั้งสองให้เฉเล็กน้อยไปคนละทาง ตรงกลางใบลูกลมทำรูไว้เสียบหลอดสำหรับสวมเดือย
๒. หลอดลูกลม อยู่ตรงกลางของใบลูกลม สำหรับใส่ไม้ลูกลม และต้องหลวมเพื่อให้ใบลูกลมหมุนได้สะดวก
๓. ไม้ลูกลม ใช้สวมลงในเดือยให้ตั้งฉาก
๔. หางลูกลม นิยมทำด้วยทางระกำทั้งใบ ผูกติดกับไม้ลูกลม
๕. ลูกร้อง ใส่ลูกร้องตรงปลายใบลูกลมทั้ง ๒ ข้าง ลูกร้องทำด้วยไม้ไผ่มีรูที่เนื้อไม้บางที่สุด ตกแต่งปากลูกร้องด้วยชัน


วิธีการเล่น
หลังจากประกอบทำลูกลมเสร็จแล้ว จะนำลูกลมไปเสียบผูกไว้บนยอดไม้สูง ๆ เพื่อให้รับลมได้เต็มที่ ลูกลมจะหมุนและส่งเสียงร้องได้ยินไปไกล บางครั้งมีการแข่งขันการวิ่งลูกลมโดยถือลูกลมวิ่งฟังเสียงดูว่าลูกลมอันไหน เสียงดังไพเราะ ลูกลมที่ถือว่าเสียงดีไพเราะจะต้องมีเสียงกลมและมีใยเสียง

โอกาสและเวลาที่เล่น
ชาวบ้านนิยมเล่นลูกลม หลังจากเก็บข้าวเสร็จแล้ว ในฤดูร้อนเพราะว่างจากการทำงาน พื้นดินแห้งสนิท ลมกำลังดี เหมาะแก่การเล่นลูกลมมาก

คุณค่า
การเล่นลูกลมเป็นการพักผ่อนนันทนาการแบบหนึ่งของชาวชนบท โดยคิดค้นวิธีการทำลูกลมให้คงทนและเสียงไพเราะ ทำให้ได้ใช้ความคิดประดิษฐ์ลูกลมแบบต่าง ๆ ที่สวยงามและใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน โดยเฉพาะการวิ่งลูกลมเป็นกีฬาการออกกำลังกายได้ทั้งความสนุกสนานและความ สามัคคี



คติและแนวคิด
ตำนานลูกลมให้แนวคิดดังนี้
๑. จะทำสิ่งใดให้คิดใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนทำ ด้วยการใช้ปัญญามาช่วยแก้ปัญหา แม้จะมีพละ กำลังแข็งแรงมหาศาล ก็ไม่อาจทำการใดให้สำเร็จได้ หากไม่ใช้ปัญญาดังเช่นไพร่พลของพญายักษ์ที่พ่ายแพ้ ปัญญาของมนุษย์
๒. ผู้ที่รักษาสัจจะวาจา รู้แพ้รู้ชนะ จะเป็นผู้ที่ได้รับการสรรเสริญ เหมือนกับพญายักษ์ ที่เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ตลอดไป
๓. เป็นความเชื่อทางพุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีปัญญาความรู้ดังแสงสว่างในความมืด สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ได้
๔. ความสามัคคีของมวลมนุษย์ที่ช่วยกันทำลูกลม เพื่อขับไล่พญายักษ์ทำให้แผ่นดินมีความสงบอีกครั้ง ความสามัคคีจึงเป็นที่มาแห่งความสุข
___________________________________________

[1] พุทธกาล หมายถึง ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ (ต่างจากภาษาปากที่หมายถึง ช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าศาสนาพุทธจะดำรงอยู่ 5,000 ปีหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว)
พุทธกาลในความหมายที่ถูกต้อง คือระยะเวลา 80 ปี ก่อนพุทธศักราช อันเป็นปีที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ณ ลุมพินีวัน จนถึง วันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (ก่อนพุทธศักราช 1 ปี)
การกล่าวถึงพุทธกาลในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามักจะหมายถึงระยะเวลา 80 ปีนี้
พุทธศักราช เริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 1 ปี จึงนับเป็น พุทธศักราชที่ 1

[2] ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ ดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ดังนี้
ที่อยู่ของมนุษย์หรือมนุสสภูมินั้นอยู่บนพื้นดิน (หรือเรียกว่า ดาวเคราะห์) ลอยอยู่กลางอากาศในระดับเดียวกับไหล่เขาพระสุเมรุ ตั้งอยู่ในทิศทั้ง 4 ของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล (หรือทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียก กาแล็กซี่) ผืนแผ่นดินใหญ่ (ดาวเคราะห์) ทั้ง 4 ที่ลอยอยู่ในทิศทั้ง 4 เรียกว่า "ทวีป" มีชื่อและที่ตั้ง ดังนี้
1.ปุพพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ
2.อมรโคยานทวึป (อปรโคยานทวีป) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ
3.ชมพูทวีป (โลกมนุษย์ที่เราอยู่) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ
4.อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ
5.ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

[3] เจดีย์ (ภาษาบาลี : เจติย , ภาษาสันสกฤต : ไจติยะ) หรือ สถูป (ภาษาบาลี : ถูป , ภาษาสันสกฤต : สฺตูป) เป็นสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนา พบได้ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียและเอเชีย
เจดีย์ หมายถึงสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งของที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่เคารพบูชาระลึกถึง สถูป หมายถึงสิ่งก่อสร้างเหนือหลุมฝังศพ หรือสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิธาตุของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อให้ลูกหลานและผู้เคารพนับถือได้สักการบูชา ถือกันว่ามีบุคคลที่ควรบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อเป็นที่สักการะของมหาชนอยู่เพียง 4 พวก เรียกว่า ถูปารหบุคคล ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก และพระเจ้าจักรพรรดิ์
สำหรับประเทศไทย คำว่า สถูป และ เจดีย์ เรามักรวมเรียกว่า “สถูปเจดีย์” หรือ “เจดีย์” มีความหมายเฉพาะ ถึงสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิ หรือเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป หรือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ในสมัยหลังลงมาคงมีการสร้างสถานที่เพื่อบรรจุอัฐิธาตุ และเพื่อเคารพบูชาระลึกถึงพร้อมกันไปด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้